-
IoT for Agriculture เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่ภาครัฐเน้นส่งเสริมอย่างจริงจัง
รัฐบาลญี่ปุ่นผลักดัน ”เกษตรแม่นยำ (Precision Farming)” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกับเทคโนโลยี IoT เพื่อลดปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยแบ่ง แผนออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) การนาเกษตรแบบด้ังเดิมผสมผสานกับเคร่อื งจักรสมัยใหม่ เช่น หุ่นยนต์รถแทรกเตอร์2) การพัฒนาเทคโนโลยี Mapping-oriented variable-rate application และ3) การผสมผสาน Mapping-oriented และ Wisdom-oriented สำหรับพัฒนาอุปกรณ์แบบ 0n-the-go เพื่อให้เกิด “Sensing as a service”ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบการจัดการพื้นที่เพาะปลูก นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ ปุ่น ได้ ร่วมมือ กับ Japan Aerospace Exploration Agency (JAXA)ออกแบบระบบดาวเทียมนำร่อง Quasi-Zenith Satellite System (QZSS) ที่มีความคล้ายคลึงกับระบบดาวเทียม GPS ของสหรัฐฯ โดย QZSS จะสามารถระบุข้อมูลของตำแหน่งและเวลาที่มีความแม่นยำและซับซ้อนสูงในระดับ Sub-meters level ครอบคลุมภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย เพื่อให้เอื้อต่อการออกแบบเครื่องมือที่ต้องอาศัยการระบุตำแหน่งที่แม่นยำอย่าง Drone positioning หรือหุ่นยนต์อัตโนมัติยิ่งกว่าน้ัน ยังมีความร่วมมือระหว่าง SoftBank CKD Corporation และ Ericsson ในการจัดทำเซ็นเซอร์แพลตฟอร์มที่เรียกว่า “e-kkashi” ที่ได้รวบรวมเซ็นเซอร์วัด อุณหภูมิ และความชื้นในดิน โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวจะถูกควบคุมด้วยระบบ Cloud-based AI ที่สามารถสั่งการเปิดปิดอุปกรณ์อัตโนมัติได้ เช่น Sprinkler,liquid-fertilizer pumps, heat pumps, and CO2 generators or open/close windows รัฐบาลสิงคโปร์พยายามผลักดันประเทศเป็นศูนย์กลางการพัฒนา Agritechโดยเฉพาะแปลง ”เกษตรในที่ร่ม (Indoor Farming)” เพื่อลดการนำเข้าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศ เนื่องจากสิงคโปร์มีพื้นที่เกษตรกรรมน้อยกว่า 1% และต้องนำเข้าผักผลไม้จากต่างประเทศมากถึง 92% เพื่อให้เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ โดย Indoor Farming จะช่วยเพิ่มอัตราการผลิตให้เพียงพอกับความมั่นคงทางอาหารสาหรับ ประเทศที่มีพื้นที่ขนาดเล็ก โดยคาดว่าตลาดเกษตรในที่ร่ม จะขยายตัวถึง 20% ต่อปีไปจนถึงปี 2023 รวมไปถึงรัฐบาลสิงคโปร์ยังตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางด้านการลงทุนและการใช้เทคโนโลยีในภาคการเกษตรของโลก เพื่อการจัดการระบบพื้นที่ปลูกให้เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องได้อย่างเต็มรูปแบบ…
-
เทคโนโลยี smart farm IoT การนำ IoT มาใช้ในโรงงานผลิตพืชของ 808 Factory
สำหรับตัวอย่างบริษัทที่นำเทคโนโลยี IoT มาใช้ในโรงงานผลิตพืชที่ปลอดสารเคมี ได้แก่บริษัท 808 Factory (ญี่ปุ่น) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตพืชด้วยแสง LED (Plant Factory with Artificial LED: PFAL) เชิงพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยเน้นผลิตผักสดพร้อมทานในกลุ่มผักสลัด ภายใต้พื้นที่โรงงานกว่า 10,000 ตรม. ที่มีอัตราการผลิตสูงถึง 120,000 ต้น ท าให้ในแต่ละวันสามารถจำหน่ายผักได้ถึง 20,000 ต้นต่อวัน (80 กรัมต่อต้น) กระจายไปยังร้านค้าและร้านอาหารในเขตคันโตและชูบูเป็นส่วนใหญ่ยิ่งกว่าน้ัน ด้วยโรงงานผลิตพืชแบบระบบปิด และใช้เซ็นเซอร์เพื่อควบคุมปัจจัยต่างๆไม่ว่าจะเป็นแสงสว่าง ระบบน้ำ สภาพอากาศ และการให้ปุ๋ย เพื่อคงมาตรฐานทั้งในแง่ของคุณภาพ สี ขนาดและรสชาติ ทั้งยังปราศจากสารเคมีและยาฆ่าแมลง ทาให้ราคาผักสลัดของ 808 Factory สูงกว่าผักสลัดในแปลงปลูกทั่วไปราว 2-3 เท่า
-
เทคโนโลยี smart farm IoT รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นสินค้าปลอดสารพิษมากขึ้น
เทคโนโลยี IoT จะเป็นผู้ช่วยสำหรับธุรกิจเกษตรในการรับมือความท้าทายของผู้ประกอบการในยุคสินค้าออร์แกนิคที่ต้องลดการใช้สารเคมีในการเพาะปลูก แต่ยังให้คงคุณภาพของผลผลิตและผลผลิตต่อไร่ดีเท่าเดิม โดยจากการสำรวจของ Organic Trade Association ของสหรัฐฯ พบว่า ยอดขายสินค้าออร์แกนิค8 ในสหรัฐฯ ปี 2018เพิ่มขึ้นถึง 6.3% ท าสถิติสูงสุดที่ยอดขายแตะระดับ 5.25 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ขณะที่สินค้าออร์แกนิคที่เป็นอาหาร (Organic food markets) เติบโตถึง 5.9% และสินค้าออร์แกนิคที่ไม่ใช่อาหาร (Organic non-food markets) อยู่ที่ 10.6% นอกจากนี้ยอดขายผักและผลไม้ออร์แกนิคซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของสินค้าออร์แกนิคที่เป็นอาหารหรือประมาณ 1.74 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ยังเติบโตถึง 5.6% ในปี 2018 เมื่อเทียบกับยอดขายผักและผลไม้ท่ัวไปที่เติบโตเพียง 1.7% นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายสินค้าออร์แกนิคในราคาที่สูงกว่าสินค้าทั่วไปสะท้อนได้จากการศึกษาในปี 2018 พบว่า ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ราว 38% ยินดีที่จะจ่ายสำหรับการอุปโภคบริโภคสินค้าออร์แกนิคในราคาที่สูงกว่าสินค้าทั่วไปราว 11%-20%(Ramu et al., 2018)
-
Climate Change ลดประมาณการผลผลิตต่อไร่ เทคโนโลยี smart farm IoT
ยิ่งกว่านั้น Climate Change ที่มีแนวโน้มเกิดบ่อยขึ้นและถี่มากขึ้น ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการจัดการความร้อนภายในตัวพืช (Heat Stress) โดยทีมวิจัยมหาวิทยาลัย Cornell ได้ท าการทดลองทดสอบปริมาณผลผลิตข้าวโพดและข้าวสาลีภายใต้สภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศตั้งแต่ระดับอ่อน(Mild) ไปจนถึงระดับรุนแรง (Severe) พบว่า Climate Change ส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่ของข้าวโพดและข้าวสาลีลดลง 8%-48% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในภาวะปกติ นอกจากนี้ ยังพบว่า ค่าความชื้นในดินเป็นดัชนีชี้วัดที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในการประเมินผลผลิตต่อไร่ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ยกตัวอย่างเช่น หากปรับค่าความชื้นในดินลง 30% จากค่าเฉลี่ยในอดีต จะท าให้ผลผลิตข้าวโพดลดลงราว 18% แต่หากสภาพอากาศมีความแห้งเพียงเล็กน้อย (Slightly dry condition) กลับส่งผลดีต่อผลผลิตพืชบางชนิดในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว
-
Climate Change ส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างไร? เทคโนโลยี smart farm IoT
“แสงและความร้อนที่เกินความจำเป็น” คือ อุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของพืช พืชมักมีวิวัฒนาการเกี่ยวกลไกของเซลล์ที่ค่อนข้างซับซ้อน โดยจะมีระบบการป้องกันตนเองจากปริมาณแสงที่มากจนเป็นอันตรายต่อกระบวนการสังเคราะห์แสง กล่าวคือ ความเข้มข้นแสงที่มากเกินไปจะน ามาสู่พลังงานแสงที่มากเกินความจำเป็น ซึ่งจะเข้าไปทำลายระบบการสังเคราะห์แสงของพืช และเข้าไปขัดขวางการเจริญเติบโตของพืชในที่สุด นอกจากนี้ความร้อนที่เพิ่มสูงชื้นในช่วงฤดูร้อนก็ส่งผลต่อผลผลิตด้วยเช่นกัน โดยจากข้อมูลการสำรวจรายได้และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในบังกลาเทศ (HIES)ร่วมกับข้อมูลจาก Moderate Resolution Imaging Spectroradiometer(MODIS) ระหว่างปี 2000-2010 เพื่อวิเคราะห์ความเสียหายของผลผลิตข้าวในระดับครัวเรือน พบว่า ภาวะแล้งมีความสัมพันธ์กับผลผลิตข้าว โดยเมื่อระดับความแล้งเพิ่มชื้น 1% จะทำให้ผลผลิตข้าวลดลง 693 กิโลกรัมต่อครัวเรือนโดยเฉลี่ยต่อปีในเดือน มิ.ย.-ก.ค. (Aus) และจะทำให้ผลผลิตลดลงมากถึง 1,382 กิโลกรัมต่อครัวเรือนโดยเฉลี่ยรายปีในช่วงเก็บเกี่ยวในเดือนพ.ย.-ธ.ค. (Aman)
-
เทคโนโลยี smart farm IoT ช่วยลดความเสี่ยงจาก Climate Change
สำหรับตัวอย่างบริษัทที่มีการนำเทคโนโลยี IoT ในกลุ่ม Soil Sensors มาช่วยลดความเสี่ยงจาก Climate Change กล่าวคือ รัฐบาลท้องถิ่นเมือง Oregon ได้ร่วมสนับสนุนให้แก่ชาวสวนฟาร์มบลูเบอรี่นำอุปกรณ์ HydraProbe มาใช้เพื่อวัดความชื้นในดินในแต่ละระดับความลึก เนื่องจากพืชสวนอย่างบลูเบอรี่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อการขาดน้ำอย่างมาก โดย HydraProbe จะประเมินการใช้น้ำและการใส่ปุ๋ยได้อย่างแม่นยำให้สอดคล้องกับช่วงการดูดซับอาหารของรากพืช และยังช่วยลดการใช้สารกำจัดเชื้อราที่เป็นไปตามกฎระเบียบในการควบคุมคุณภาพน้ำ รวมไปถึงยังมีฟังก์ชันแจ้งเตือนที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในช่วงที่สภาพอากาศรอ้ นจัดและหนาวจัด ซ่ึงจะช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ได้มากขึ้นจากการประหยัดต้นทุนนั่นเองท้ังนี้ อุปกรณ์ HydraProbe จะมีลักษณะเป็นแท่งตรวจจับความชื้นที่หุ้มด้วยฉนวนไฟฟ้าอย่างโพลีเอทิลีนที่มีความแข็งแรง ทนแดด กันน้ำ และสามารถใช้ได้ทุกสภาพดิน โดยใช้หลักการวัดความต้านทานต่อไฟฟ้ากระแสสลับ (DielectricImpedance) ด้วยคลื่นความถี่วิทยุ 50 เมกะเฮิทซ์ทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผลกลางเพื่อตรวจหาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพดินอย่างเช่น ความชื้น (Moisture) ความเค็มของดิน (Soil Salinity) และอุณหภูมิ (Temperature) ซ่ึงข้อมูลท้ังหมดที่ได้จะถูกส่งไปเก็บที่แอปพลิเคชัน HydraGO ผ่านระบบบลูทูธเพื่อเชื่อมกับสมาร์ทโฟนต่อไป