อุปกรณ์ เทคโนโลยี เกษตร IoT
-
เทคโนโลยี smart farm IoT จัดการพลังงานและสาธารณูปโภค วาง ระบบ คู่มือ การใช้
ระบบการจัดการพลังงานและสาธารณูปโภค ระบบการจัดการพลังงานและสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีการตรวจวัดที่แม่นยำการประมวลผลในภาพรวม และการประมาณการที่มีความเชื่อถือได้ ระบบ IoT จะถูกนำมาประยุกต์ใช้ในลักษณะการตรวจวัดระยะไกล (Telemetry) เช่น ระบบ Smart Meter ซึ่งมีความสามารถในการวัดปริมาณการใช้สาธารณูปโภค หรือวัดคุณภาพสาธารณูปโภค ก่อนจะส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังหน่วยประมวลผลกลางเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ในภาพรวมต่อไป ตัวอย่างของการประยุกต์ใช้งานประเภทนี้ คือบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าโดยใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ที่ทำหน้าที่ตรวจวัดปริมาณการใช้งานพลังงานไฟฟ้า และรวบรวมข้อมูลเพื่อประมาณการค่าอุปสงค์ (Demand Forecast)การใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาต่างๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมการจ่ายไฟฟ้า การวางแผนสร้างโรงไฟฟ้า จัดการแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้า และการคิดราคาค่าไฟฟ้าแบบสอดคล้องกับค่าอุปสงค์-อุปทาน(ETP Smartgrids, 2016) ซึ่งในประเทศไทย ระบบดังกล่าวกำลังได้รับการบุกเบิกพัฒนาภายใต้ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง และมหาวิทยาลัย (กระทรวงพลังงาน, 2558) แนวคิดที่คล้ายคลึงกันสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการจัดการสาธารณูปโภคชนิดอื่น เช่น ระบบส่งน้ำอัจฉริยะ (Smart Water) และชลประทานอัจฉริยะ (Smart Irrigation)
-
เทคโนโลยี smart farm IoT ระบบข้อมูลสุขภาพและการแพทย์ วาง ระบบ คู่มือ การใช้
ระบบข้อมูลสุขภาพและการแพทย์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสวมใส่ได้ (Wearable Devices) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ข้อมูลทางสุขภาพและพฤติกรรมมนุษย์สามารถถูกวัดและรวบรวมเพื่อใช้ในการวิเคราะห์สุขภาพได้ อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถตรวจวัดวงจรการนอน การเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และเก็บข้อมูลกิจกรรมระหว่างวัน เช่น การเดินและวิ่ง นอกจากนี้ อุปกรณ์การแพทย์ระดับผู้บริโภค เช่น เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด เครื่องวัดความดันโลหิต เครื่องวัดสายตา เมื่อถูกเชื่อมต่อเข้ากับระบบฐานข้อมูลส่วนบุคคลจะช่วยให้ผู้บริโภค หรือคนไข้ตรวจสอบข้อมูลทางสถิติที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของตน หรือเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ทีมงานแพทย์ได้ข้อมูลประกอบการวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
-
เทคโนโลยี smart farm IoT ระบบจัดการจัดการโลจิสติกส์ วาง ระบบ คู่มือ การใช้
ระบบคมนาคมและการจัดการโลจิสติกส์ หนึ่งในภาคส่วนที่คาดว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยี IoT คือ ระบบคมนาคมและการจัดการโลจิสติกส์ โดยเฉพาะแนวคิดคมนาคมขนส่งอัจฉริยะ หรือ Intelligent Transport System(ITS) ซึ่งระบบดังกล่าวจะช่วยให้เกิดการสื่อสารระหว่างพาหนะต่อพาหนะด้วยกัน หรือระหว่างพาหนะและระบบควบคุมการจราจรอื่น เช่น ระบบสัญญาณการจราจร ระบบข้อมูลสภาพจราจร หรือการนำเอาระบบดังกล่าวมาใช้กับระบบขนส่งมวลชนที่จะช่วยให้การบริการมีความปลอดภัย สะดวก และตรงเวลามากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การนำระบบดังกล่าวไปใช้ในการขนส่งสินค้าจะทำให้สามารถทราบตำแหน่งยานพาหนะ ทราบสถานการณ์รับ-ส่งสินค้า อันส่งผลให้การจัดการสินค้าคงคลังมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
-
เทคโนโลยี smart farm IoT ระบบจัดการการเกษตรอัจฉริยะ วาง ระบบ คู่มือ การใช้
การเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) อาศัยการทำงานร่วมกันของระบบเซนเซอร์ที่วัดความชื้นปริมาณแสงแดด อุณหภูมิ ระบบฐานข้อมูลพืช และระบบให้น้ำ ปรับปริมาณแสง และระบบปรับอุณหภูมิ ที่ทำงานสอดคล้องกันเพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชมากที่สุด ระบบดังกล่าวยังช่วยให้เกษตรกรสามารถประมาณการช่วงเวลาเก็บเกี่ยวและปริมาณพืชผลที่จะได้อีกด้วย
-
เทคโนโลยี smart farm IoT การประยุกต์ใช้งาน อุตสาหกรรมและการผลิต วาง ระบบ คู่มือ การใช้
การประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี IoT ในช่วงแรกจะเป็นการพัฒนาต่อยอดระบบที่ทำงานเป็นอิสระ(Stand Alone) ไม่เชื่อมกับระบบอื่น หรือ เป็นระบบโครงข่ายภายในที่ไม่ต่อเชื่อมกับระบบอินเทอร์เน็ตผู้เชี่ยวชาญเรียกระบบเหล่านี้ว่า Intranet of Things อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทคโนโลยีโครงข่ายในรูปแบบใหม่ส่งผลให้ระบบ วัตถุ และอุปกรณ์ทั้งหลายที่เคยทำงานแยกกันสามารถเชื่อมต่อถึงกันสื่อสารกัน และสร้างช่องทางให้มนุษย์สามารถเข้าถึง ควบคุม เก็บข้อมูล และใช้งานได้ โดยรูปแบบการสื่อสารของแนวคิด IoT นั้น เป็นผลพวงของการพัฒนาต่อยอดระบบอินเทอร์เน็ตที่มีอยู่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเอื้อให้เกิดการประยุกต์ใช้งานในรูปแบบใหม่ในประเทศไทย ดังต่อไปนี้ อุตสาหกรรมและการผลิต ระบบควบคุมเครื่องจักรกลการผลิตโดยอัตโนมัติและการใช้หุ่นยนต์เป็นเครื่องมืออันสำคัญของวงการอุตสาหกรรมของประเทศไทยในปัจจุบัน หัวใจของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT ในอุตสาหกรรมคือการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนจากการผลิตจำนวนมาก (Mass Production) โดยใช้ข้อมูลและผลของการวัดที่เก็บผ่านโครงข่ายของเซนเซอร์ร่วมกับการทำงานของระบบการตัดสินใจโดยอัตโนมัติการทำงานในลักษณะที่เครื่องจักร หุ่นยนต์ และเซนเซอร์ทุกตัวสามารถสื่อสารกันได้จะเพิ่มความแม่นยำและช่วยให้ระบบทำงานได้สอดคล้องกันอย่างเป็นอัตโนมัติ ผลการสำรวจและการวิจัยของ World Economic Forum พบว่า 79% ของผู้ถูกสำรวจจากวงการอุตสาหกรรมทั่วโลกเชื่อมั่นว่าภายในระยะเวลา 5 ปี เทคโนโลยี IoT จะเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ (Disruptive Factor) ต่อการประกอบการอุตสาหกรรม(World Economic Forum, 2015a) โดยในการประชุม IoT World Forum มีการกล่าวถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (Industry 4.0)และมีการรายงานตัวเลขการลงทุนในเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม (Industrial Internet) ทั่วโลกในปี ค.ศ. 2014 ทั้งสิ้นจำนวน 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(Cisco System, 2014) ซึ่งประเทศไทยมีโอกาสสูงที่จะได้รับผลการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเช่นกันในฐานะที่เป็นฐานการผลิตใหญ่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ตัวอย่างของระบบที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรมแสดงในภาพที่ 1 ตามแนวคิดของบริษัท National Instrument ซึ่งระบบอุตสาหกรรมอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรมในโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) จะสามารถความคุมอัตราการผลิตให้สอดคล้องกับอุปสงค์และอุปทานของตลาดซึ่งเกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากพฤติกรรมของผู้บริโภค และทรัพยากรที่ได้รับจากสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ระบบส่งน้ำอัจฉริยะ ฯลฯ
-
เทคโนโลยี smart farm IoT ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา วางระบบ คู่มือ การใช้
Internet of Things (IoT) ตามนิยามของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU (International Telecommunication Union) หมายถึง โครงข่ายสื่อสารที่มีการเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสาร เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานพาหนะ อาคารสิ่งก่อสร้าง หรือวัตถุอื่น โดยอาศัยการฝังระบบอิเล็กทรอนิกส์ซอฟต์แวร์ อุปกรณ์เซนเซอร์ และส่วนเชื่อมต่อโครงข่าย ที่จะช่วยให้อุปกรณ์และวัตถุดังกล่าวสามารถเก็บ หรือแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ (ITU, 2012) ในการประยุกต์ใช้งาน คำว่า “Things” ในInternet of Things นั้นสามารถมีความหมายครอบคลุมกว้างขวาง ตั้งแต่อุปกรณ์สื่อสารหลากหลายชนิดเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น พัดลม ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ หม้อหุงข้าว ไปจนถึง ระบบอากาศยาน แผงโซล่าเซลล์วาล์วจ่ายน้ำและแผงวงจรขนาดเล็กที่ฝังลงในปศุสัตว์ ฯลฯ หากจินตนาการไปถึงอนาคตอันใกล้ผู้คนจำนวนมากอาจตื่นขึ้นจากการปลุกของแรงสั่นจากอุปกรณ์สายรัดข้อมือที่สามารถบันทึกข้อมูลการนอนของผู้ใช้งาน เช่น วงจรการนอน ระยะเวลาที่หลับลึก เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานได้วิเคราะห์ประสิทธิภาพการนอนของตน อุปกรณ์ดังกล่าว ยังสามารถเก็บข้อมูลการออกกำลังกาย ความดันโลหิต จังหวะการเต้นของตัวใจ พร้อมทั้งข้อมูลการออกกำลังกายเพื่อใช้ในการสร้างฐานข้อมูลสุขภาพที่สามารถเรียกค้นโดยทีมงานแพทย์ประจำตัว ขณะที่กลับจากการออกกำลังกายตอนเช้า เครื่องอาบน้ำอุ่น เครื่องปรับอากาศ และหม้อหุงข้าวอาจจะเริ่มทำงานเพื่อต้อนรับการกลับมาของเจ้าของบ้าน ในขณะเดียวกันผู้คนบางส่วนในท้องถนนอาจกำลังไปทำงานด้วยการโดยสารรถยนต์ที่ขับขี่ด้วยตนเอง (Self-Driving Vehicles) รถยนต์ดังกล่าวเคลื่อนที่ผ่านบ้านเรือนที่ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ที่สามารถปรับตามทิศทางของแสงแดดไว้บนหลังคา โดยกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนหนึ่งจะถูกเก็บไว้ใช้งาน ส่วนหนึ่งจะจ่ายเข้าสู่ระบบสายส่งของการไฟฟ้าเพื่อสร้างรายได้ให้กับเจ้าของบ้านผู้ติดตั้ง โดยอาศัยกลไก อุปสงค์-อุปทาน ของพลังงานไฟฟ้า ณ ขณะนั้น ที่จัดการโดยระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Power Grid) ในอนาคตประเทศไทยอาจยังคงเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรกรรมรายใหญ่ของโลก ด้วยการสนับสนุนของเทคโนโลยีเกษตรกรรมอัจฉริยะ (Smart Farming) ที่สามารถจ่ายน้ำ ให้ปุ๋ย และปรับม่านบังแสงแดดอัตโนมัติโดยอาศัยการทำงานร่วมกันของเซนเซอร์วัดความชื้นและแสงแดด ผ่านการควบคุมของระบบฐานข้อมูลที่เก็บสภาวะที่เหมาะสมต่อการทำการเกษตรของพืชหลากหลายชนิด และข้อมูลทางอุตุนิยมวิทยาที่ได้รับจากระบบอินเทอร์เน็ต ฯลฯ ตัวอย่างของสถานการณ์ดังกล่าวอาจฟังดูคล้ายกับนิยายวิทยาศาสตร์ที่ไกลตัวแต่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงในหลายประเทศของโลกและกำลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี IoT อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเทคโนโลยี IoT นั้นยังอยู่ในขั้นแรกเริ่มการพัฒนา และมีแนวโน้มของการเจริญเติบโตสูงมากในอนาคต มีการประมาณการจากบริษัท Cisco Systems ว่า ในปี2016 มีอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อผ่านระบบโครงข่ายอินเทอร์เน็ตทั้งสิ้นจำนวนทั้งสิ้น 12.4 พันล้านอุปกรณ์ค่าดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 50 พันล้านอุปกรณ์ ในปี 2020 ซึ่งจะเป็นจำนวนที่สูงกว่าจำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่หลายเท่าตัว (Cisco, 2013) การเจริญเติบโตดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้มีการสร้างนวัตกรรมและการบริการรูปแบบใหม่ รวมถึงช่วยให้มนุษย์สามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างหลากหลายในระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งจะช่วยสร้างเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาลในอนาคต อย่างไรก็ตาม การขยายตัวดังกล่าวต้องการการรองรับของโครงสร้างพื้นฐานทางโทรคมนาคมและทรัพยากรทางโครงข่ายที่เพียงพอและการบริหารจัดการที่มีความยืดหยุ่นสูง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีโอกาสจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและฉับพลัน ซึ่งถ้าขาดการเตรียมการและวางแผนเพื่อให้มีกระบวนการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างสภาวะแวดล้อม(Ecosystem)…