-
เทคโนโลยี smart farm IoT ช่วยลดความเสียหายของผลผลิตจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์เอลนิโญ่มีความถี่มากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้สภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกโดยรวมมีความแปรปรวน และส่งผลกระทบมากขึ้นเป็นลำดับ สะท้อนจากดัชนีชี้วัดปรากฎการณ์เอลนิโญ่ (El Niño) และลานิญ่า (La Nina)5หรือ Oceanic Niño Index (ONI) ซึ่งคำนวณจากค่าอุณหภูมิที่ผิวน้าทะเล (SST) ที่เปลี่ยนไปจากค่าอุณหภูมิปกติ โดยจะเห็นได้ว่าเกิดปรากฏการณ์เอลนิโญ่รุนแรงและบ่อยครั้ง ขึ้นในระหว่างปี 2010-2019 เมื่อเทียบกับช่วง 10 ปีก่อนหน้า สอดคล้องกับรูปที่ 5 ที่แสดงให้เห็นถึงจานวนครั้ง ที่เกิดภัยพิบัติที่เพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่าในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งศตวรรษ โดยภัยพิบัติทั่วโลกระหว่างปี 1950-1962 เกิดขึ้นเพียง 20 ครั้ง ต่อปีแต่ในช่วงปี 2000-2008 เพิ่มขึ้นเป็น 400-500 ครั้ง ต่อปี และในช่วงปี 2009-2018กลับเพิ่มสูงถึง 600-700 คร้ังต่อปี โดยได้สร้างความเสียหายทั่วโลกสะสมถึง3.54 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ในช่วงปี 1999-20186 นอกจากนี้ รายงานของ UNEPAdaptation Gap Report ปี 2016 ก็ได้ออกประกาศแจ้งเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศโลกในปี 2030 จะรุนแรงขึ้นกว่าในปัจจุบันราว 2 ถึง 3 เท่า และจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นอีก 4 ถึง 5 เท่าในปี 2050
-
เทคโนโลยี smart farm IoT ช่วยให้ Young Farmer ประสบความสำเร็จในธุรกิจเกษตรได้ง่ายขึ้นจากการที่ในอนาคตธุรกิจเกษตรไทยจะเป็นในลักษณะ Decentralized
ช่วยให้ Young Farmer ประสบความสำเร็จในธุรกิจเกษตรได้ง่ายขึ้นจากการที่ในอนาคตธุรกิจเกษตรไทยจะเป็นในลักษณะ Decentralized Krungthai COMPASS มองว่า IoT จะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ (Young Farmer) ประสบความสำเร็จในธุรกิจเกษตรได้ง่ายขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยี IoT จะเปลี่ยนรูปโฉมธุรกิจเกษตรไทยให้เป็นในลักษณะ Decentralized ซึ่งทำให้การบร ิหารจัดการผลิตไม่ยากดังเช่นแต่ก่อน ส่งผลให้การใช้ปัจจัยการผลิต (Input) มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากผู้ประกอบการรุ่นใหม่อย่างบร ิษัท Deva Farmที่เร่มิ จากการเป็นผู้ผลิตคราฟเบียร์ไทยแบรนด์เทพพนม (Devanom) แต่ต่อมาได้พัฒนาโรงเรือนในการปลูกฮอปส์4 เองเพื่ อทดแทนการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซ่ึงนับเป็นผู้ประกอบการไทยรายแรกที่เริ่ม ต้นการปลูกฮอปส์เชิงพาณิชย์ในประเทศ โดยเป็นโรงเรือนระบบปิดที่ใช้เทคโนโลยี IoT ซึ่งประกอบด้วยเซ็นเซอร์และระบบอัตโนมัติเป็นส่วนใหญ่ เพื่อวัดอุณหภูมิความชื้น ความเข้มแสง ความเร็วลมและปริมาณน้ำฝนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
-
เกษตร smart farm thailand การเพิ่มประสิทธิภาพ ผลผลิต ผลไม้ ชมพู่
สภาพแวดล้อม ความเหมาะสม ข้อจำกัด 1.สภาพภูมิอากาศ สามารถเจริญเติบโตได้ทุกสภาพพื้นที่ – 2. สภาพพื้นที่ – สภาพความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ 5.5 – 6.5 – 3.สภาพดิน – สภาพดินร่วนและดินร่วนเหนียว ความอุดมสมบูรณ์สูง ดีที่สุดต้องเป็นดินที่เกิดจากการทับถมของตะกอนลำน้ำใหม่ที่แม่น้ำลำคลองพัดมาทับถมทุกปี เป็นดินใหม่อายุน้อย มีอินทรียวัตถุสูง หน้าดินลึกไม่เกิน 30 เซนติเมตร – 4. สภาพน้ำ – ปริมาณน้ำฝนสม่ำเสมอ – แนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ตัดแต่งช่อผลตั้งแต่เริ่มติดผล โดยไว้ผลประมาณ 3 – 4 ผลต่อช่อ เพื่อลดการใช้อาหารสะสมมากเกินไปทำให้ผลมีขนาดเล็ก ตลาดไม่ต้องการ และการไว้ผลมากเกินใบอาจส่งผลต่อการออกดอกในครั้งต่อไปน้อยลง ควรทำการห่อผลเพื่อป้องกันแมลงวันผลไม้เข้าเจาะทำลาย หากห่อช้ากว่าระยะดอกบานจะทำให้เกิดภาวะเสี่ยงจากแมลงวันผลไม้เข้าเจาะทำลาย เพราะระยะดอกบาน – ผลแก่ เพียง 45 วันเท่านั้น ควรงดการให้น้ำช่วงก่อนการเก็บเกี่ยว 3 – 5 วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพดินถ้าดินเหนียวควรงดการให้น้ำนานกว่านี้อาจเป็น 5 – 7 วัน การเก็บเกี่ยวและการจัดการผลชมพู่หลังการเก็บเกี่ยวหลังจากชมพู่อายุพร้อมที่จะเก็บเกี่ยว คือ มีอายุวัน ผลเต่งอวบ สีซีด ในบางพันธุ์มีสีขาว บางพันธุ์มีสีแดงหรือชมพู ผิวเป็นมันเงา มีความหวานสูง ควรทำการเก็บ หากทิ้งไว้เกินอายุการเก็บเกี่ยวจะทำให้ผลชมพู่แตกหรือร่วงเสียหายได้
-
เกษตร smart farm thailand ผลไม้ ชมพู่ การปลูก การดูแล รักษา
1.การเตรียมดิน แบบยกร่อง ยกร่องกว้างประมาณ 3 เมตร ร่องน้ำ กว้าง 1 – 1.50 เมตร มีแนวชายร่องข้างละ 0.50 เซนติเมตร ควรตากดินไว้ 1 เดือน แล้วจึงพลิกหน้าดินซึ่งเป็นดินล่างลงไปอยู่ด้านล่างและดินบน ซึ่งถูกทับอยู่กลับมาอยู่ด้านบนตามเดิม ช่วงพลิกดินสามารถทำการปรับสภาพดินโดยใส่ปูนขาวและใส่ปุ๋ยคอกลงไปในดินได้เลย ระยะปลูกห่างกันต้นละ 4 เมตรแบบไม่ยกร่อง ควรไถพรวนพร้อมทำการปรับสภาพดินและใส่ปุ๋ยคอก ระยะปลูก4 x 4 เมตร หรือ 6 x 6 เมตร แล้วแต่สภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินด้วย ถ้าดินอุดมสมบูรณ์ควรปลูกระยะ 6 x 6 เมตร การเตรียมพันธุ์ใช้ต้นพันธุ์ชมพู่ที่ได้จาการตอนกิ่ง หรือปักชำ สามารถให้ผลผลิตได้ตลอดปี พันธุ์ที่นิยมได้แก่ ทับทิมจันทร์ เพชรสุวรรณ เพชรสายรุ้ง เพชรสามพราน เพชรชมพูพล เป็นต้น 2.การปลูก 2.1 ใช้ต้นพันธุ์ชมพู่ที่ได้จากการตอนกิ่ง หรือปักชำ2.2 ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน2.3 ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 x 50 x 50 เซนติเมตร2.4 ผสมดินปุ๋ยคอก จำนวน 5 กิโลกรัม และปุ๋ยร็อคฟอสเฟต จำนวน 500 กรัม เข้าด้วยกันในหลุมให้สูงประมาณ 2 ใน 3 ของหลุม2.5 ยกถุงกล้าต้นไม้วางในหลุมโดยระดับของดินในถุงสูงกว่าระดับดินปากหลุมเล็กน้อย2.6 ใช้มีดที่คมกรีดถุงจากก้นถุงขึ้นมาถึงปากถุงทั้ง 2 ด้าน (ซ้ายและขวา)2.7 ดึงถุงพลาสติกออก โดยระวังอย่าให้ดินแตก2.8 กลบดินที่เหลือลงในหลุม2.9 กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น2.10 ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลมโยก2.11 หาวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่น ฟางข้าว หญ้าแห้ง2.12 รดน้ำให้ชุ่ม2.13 ทำร่มเงา เพื่อช่วยพรางแสงแดดด้วยทางมะพร้าวหรือตาข่ายพรางแสง 3.การดูแลรักษา 3.1 การใส่ปุ๋ย ปริมาณการใช้ปุ๋ย ครั้งละประมาณ 1 – 2 กิโลกรัมต่อต้น สำหรับต้นชมพู่อายุ 8 ปี และเพิ่มปริมาณมากขึ้นตามอายุและทรงพุ่ม – บำรุงต้น ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-16 หรือ…
-
เกษตร smart farm thailand ผลไม้ ชมพู่ ปฎิทิน ขั้นตอน การปลูก การดูแล รักษา
การเตรียมดิน แบบยกร่อง ยกร่องกว้างประมาณ 3 เมตร ร่องน้ำกว้าง 1 – 1.50 เมตร มีแนวชายร่องข้างละ 0.50 เซนติเมตร ควรตากดินไว้ 1 เดือน แล้วจึงพลิกหน้าดินซึ่งเป็นดินล่างลงไปอยู่ด้านล่างและดินบนซึ่งถูกทับอยู่กลับมาอยู่ด้านบนตามเดิม ช่วงพลิกดินสามารถทำการปรับสภาพดินโดยใส่ปูนขาวและใส่ปุ๋ยคอกลงไปในดินได้เลยระยะปลูกห่างกันต้นละ 4 เมตรแบบไม่ยกร่อง ควรไถพรวนพร้อมทำการปรับสภาพดินและใส่ปุ๋ยคอก ระยะปลูก 4 x 4 เมตร หรือ 6 x 6 เมตร การเตรียมพันธุ์ ใช้ต้นพันธุ์ชมพู่ที่ได้จากการตอนกิ่ง หรือปักชำ สามารถให้ผลผลิตได้ตลอดปี พันธุ์ที่นิยม ได้แก่ ทูลเกล้า ทับทิมจันทร์ เพชรชมพูพล เพชรสายรุ้ง เพชรสามพรานเพชรสุวรรณ เป็นต้น การปลูก ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 x 50 x 50 เซนติเมตร ผสมดินปุ๋ยคอก จำนวน 5 กิโลกรัม และปุ๋ยร็อคฟอสเฟต จำ นวน 500 กรัม เข้าด้วยกันในหลุมให้สูงประมาณ 2 ใน 3 ของหลุม กลบดินที่เหลือลงในหลุม กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลมโยกหาวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่นฟางข้าว หญ้าแห้งรดน้ำให้ชุ่ม และทำร่มเงา เพื่อช่วยพรางแ การเตรียมต้น การตัดแต่งกิ่งจะนิยมทำการตัดให้สูงจากพื้นดินประมาณ2 เมตร เพื่อง่ายต่อการเก็บการจัดทรงพุ่ม (ตัดแต่งกิ่งหลังจากการเก็บ) การดูแลระยะดอก-ผลแก่ การห่อผลเมื่อดอกบานแล้ว 5 – 7 วัน ให้ทำการตัดแต่งผลให้เหลือ 3 – 5 ผลต่อช่อ และทำการพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อราก่อนห่อผลประมาณ 2 วัน ใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว ขนาด 6 x 11 นิ้ว หรือ 6 x 14 นิ้ว เจาะรูขนาดเล็กข้างถุงประมาณ 8 รู หลังจากห่อแล้ว 25 –…
-
เทคโนโลยี เกษตร เครื่องย่อยวิเศษ วางระบบ smart farm IoT เกษตรอินทรีย์ ออร์แกนิค organic
เครื่องย่อยวิเศษ (High Pressure Digester) เครื่องย่อยวิเศษ หรือ เครื่อง High Pressure Digester เป็นเครื่องย่อยสลายวัสดุอินทรีย์ที่ใช้ความร้อนหรือปราศจากความร้อนก็ได้กลั่นหรือสกัดจากพืชในเครื่องเดียวกันภายในถังสเตนเลสภายในถังมีใบพัดกวนที่สามารถปรับความเร็วรอบเพื่อให้วัสดุอินทรีย์ได้รับความร้อนและความดันอย่างทั่วถึง เกิดเป็นระบบไฮโดรไลซิสทำให้เพิ่มการย่อยสลายอย่างมีประสิทธิภาพ และได้ทำการพัฒนาระบบการกลั่นน้ำมันหอมระเหยและสกัดน้ำหมักที่มีประสิทธิภาพเข้าไปอีกด้วย คุณสมบัติและสมรรถนะของเครื่อง • มีฟังก์ชันการทำงานที่สามารถตอบสนองการทำงานได้หลายรูปแบบ• สามารถเคลื่อนย้ายเครื่องไปใช้งานยังพื้นที่เป้าหมายได้สะดวก• สามารถทำการแยกเมล็ดออกจากเยื่อหุ้มเมล็ดโดยใช้ความดัน และไม่ทำให้เมล็ดเกิดความเสียหาย• การย่อยสลายด้วยแรงดันที่อุณหภูมิห้องเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารที่ต้องการย่อยอาหารให้มีขนาดเล็ก• สามารถรักษาคุณภาพของอาหารได้โดยไม่ผ่านความร้อนซึ่งเป็นกระบวนการที่จำเป็นในอุตสาหกรรมการย่อยสลายวัสดุอินทรีย์ให้มีขนาดที่เล็กลง เพื่อใช้เป็นวัสดุดิบตั้งต้น• สามารถกลั่นน้ำมันหอมระเหย โดยใช้ความร้อนกับระบบ Hot Oil และทำการควบแน่นด้วยถังควบแน่น เพื่อให้ง่ายต่อการผลิตและกลั่นน้ำมันหอมระเหย อีกทั้งการเพิ่มความดันเข้าไปในระบบ ทำให้น้ำมันหอมระเหยมีปริมาณที่เพิ่มขึ้น• ตัวถังเป็นแบบทรงกระบอกแนวนอน มีฝาแบบ Quick release ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 150 มิลลิเมตร 1 ช่อง• ขนาดภายในของถังมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 350 มม. ยาว 500 มม. และหนา 9 มม. ทำด้วยสเตนเลสสตีล ความจุ 30 ลิตร• มอเตอร์กวนขนาด 1 แรงม้า พร้อมชุดเกียร์ทด ความเร็วรอบสูงสุด 100 รอบ/นาที• สภาวะการทำงาน : ความดันสูงสุด 18 บาร์ อุณหภูมิสูงสุด200 องศาเซลเซียส• ระบบให้ความร้อนโดยตรง ใช้เชื้อเพลิงในการผลิตที่หาซื้อได้ง่าย คือ แก๊ส LPG และควบคุมอุณหภูมิแบบ digital• เซนเซอร์วัดอุณหภูมิชนิด Thermo couple type Kจำนวน 1 ชุด• เกจวัดความดันแบบบรูดอง จำนวน 1 ตัว• วาล์วระบายความดันอัตโนมัติ (Release valve)เพื่อป้องกันความดันเกินพิกัด ราคาเริ่มต้นที่ 5,000,000 บาท/เครื่องพัฒนา ภายใต้ โครงการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีด้วยกระบวนการวิศวกรรมเพื่อการสร้างสรรค์คุณค่าประจำปีงบประมาณ 2554 พัฒนาโดย : อ.พิมพ์วลัญช์ สุตะโคตรภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดลเลขที่ 25/25 ถนนพุทธมณฑลสาย 4 ตำบลศาลายาอำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170 ร่วมกับ :ห้างหุ้นส่วนจำกัด สแตรทิจิกเอ็นจิเนียร์ริ่ง เลขที่ 6/26 หมู่…