เนื้อสัตว์จากพืช ผัก Plant Based Meat,  โรงงาน OEM ผลิต สร้าง ทำ แบรนด์ รับทำ อาหารสำเร็จ

6 เหตุผลที่ธุรกิจอาหารไทย ควรรุกตลาด Plant-based Food โรงงาน|ผลิต|ทำแบรนด์|สร้างแบรนด์|อาหาร|กึ่ง|สำเร็จ

Krungthai COMPASS มองว่า ตลาด Plant-based Food ที่กำลังเติบโต จากการที่ ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพดีมากขึ้น รวมถึงยังมีช่องว่างทางการตลาด อีกมากจากจำนวนผู้บริโภค Flexitarian10 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกระแสรักษ์ สิ่งแวดล้อมและตระหนักถึงสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) เพิ่มสูงขึ้นจะยิ่งเพิ่ม โอกาสให้กับตลาดนี้ ขณะเดียวกันเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านอาหารมีบทบาทสำคัญ ที่ทำให้ Plant-based Food มีโอกาสเติบโตอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ ผลจาก การระบาดของ COVID-19 ยิ่งทาให้ความกังวลในการรับ ประทานเนื้อสัตว์ เพิ่มขึ้น

ตลาด Plant-based Food กำลังเติบโต จากการที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพดีมากขึ้น

การให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพที่ดี (Health & Wellness) ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ทำให้ผู้บริโภคพยายามลดการบริโภคเนื้อสัตว์แปรรูป ที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิด โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable diseases: NCDs) และหันมาบริโภคอาหารซึ่งเป็นโปรตีนจากพืชแทน ส่งผลดีต่อการเติบโตของตลาด Plant-based Food โดยผลสำรวจของ The Good Food Institute พบว่า ยอดขายอาหารในกลุ่ม Plant-based Food ในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น 11.4% ในปี 2019 ซึ่งเป็นอัตราเติบโตที่สูงเมื่อเทียบกับการขยายตัว 2.2% ของตลาดอาหารในภาพรวม โดยในตลาดสหรัฐฯ มีมูลค่าตลาดประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์ฯ ขณะที่ BIS Research ประเมินว่าตลาด Plant-based Food ของโลกมีมูลค่าประมาณ 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ และคาดว่า ในปี 2019-2024 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 14% สำหรับไทยคาดว่าตลาด Plant-based Food ยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก โดยในปี 2019 มูลค่าตลาด Plant-based Food ในไทยอยู่ที่ประมาณ 28,100 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2020-2024 จะเติบโต เฉลี่ยประมาณปีละ 10%

การบริโภค “เนื้อแดง” เพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดโรค NCDs International Agency for Research on Cancer โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) และ American Institute for Cancer Research (AIRC) ต่างลงความเห็นว่า เนื้อแดงที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งเป็น “สารก่อมะเร็ง”(Carcinogen) โดยผู้ที่บริโภคเนื้อแดงเพียงวันละ 50 กรัม ต่อวัน จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้มากถึง 18% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้บริโภค ขณะที่ International Agency for Research on Cancer โดยองค์การอนามัยโลก ก็ได้ศึกษาจาก 800 ตัวอย่างของโรคมะเร็ง พบว่านอกจากเนื้อแดงจะก่อให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้แล้ว ยังมีความสัมพันธ์ เนื้อสัตว์เป็นจำนวนมาก ก็ส่งผลให้มีปริมาณคอเลสเตอรอลในต่อการเกิดโรคมะเร็ง ตับอ่อนและมะเร็งต่อมลูกหมากอีกด้วย นอกจากนี้ การรับประทานเลือดสูง และเสี่ยงที่ จะเกิดโรคหัวใจมากกว่าผู้ที่รับประทานมังสวิรัติถึง 24%

การรับประทานผักเพิ่มขึ้นหรืออาหารที่ทาจากพืชกลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสาหรับผู้ที่ ต้องการควบคุมอาหาร โดยหากเปรียบเทียบกับเนื้อสัตว์ 100 กรัม พบว่า เนื้อวัวให้ พลังงาน 217 กิโลแคลอรี่และมีสัดส่วนไขมันทั้งหมดถึง 10% เช่นเดียวกับเนื้อหมูที่ให้พลังงาน 242 กิโลแคลอรี่ และมีไขมัน 14% ขณะที่อาหารยอดนิยมอย่างหมูสามชั้นที่ให้พลังงานมากกว่าเนื้อหมูปกติ 2 เท่า และไขมันกว่า 53% หรือ 53 กรัมเลยทีเดียวสอดคล้องกับค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ของผู้ที่รับประทานมังสวิรัติที่น้อยกว่าในทุกกลุ่มอายุและเพศ (Oxford Vegetarian Study, 1999)

นอกจากนี้ การลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์ช่วยให้สุขภาพจิตดีขึ้น โดยผู้ที่เคย รับประทานเนื้อสัตว์เป็นประจำทุกวันมีแนวโน้มอารมณ์ดีขึ้นและมีความเครียดน้อยลงภายหลังจากรับประทานมังสวิรัติได้เพียง 2 สัปดาห์ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะเนื้อสัตว์มีส่วนประกอบของกรดไขมันสายยาว (Long-chain of omega-6 fatty acid) ซึ่งเกี่ยวข้องกับอาการซึมเศร้า จึงทำให้ผู้ที่รับประทานมังสวิรัติมักมีสุขภาพจิตที่ดีกว่า(Nutrition Journal, 2010, 2012)

กระแส Flexitarian ที่เติบโตต่อเนื่อง Flexitarian หรือผู้บริโภคมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น สามารถทานเนื้อสัตว์ได้เป็นครั้งคราว มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จึงทำให้ตลาด Plant-based Food ไม่จำกัดอยู่แค่กลุ่มวีแกน (Vegan) และ Vegetarian อีกต่อไป โดย Flexitarian มีลักษณะการบริโภคมังสวิรัติเป็นหลัก สลับกับเนื้อสัตว์หรือ เนื้อปลาเป็นครั้ง คราว17 ทำให้ผู้บริโภคมีความยืดหยุ่น (Flexibility) ในการรับประทานเนื้อสัตว์ได้เฉลี่ยไม่เกิน 3 มื้อต่อสัปดาห์ ยิ่งกว่านั้น การงดเว้นรับประทานเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด อาจขาดสารอาหารบางประเภทที่จำเป็น ต่อร่างกาย อาทิ วิตามิน B12 ซิงค์ เหล็ก แคลเซียม และโอเมก้า-3 ต้องรับประทานอาหารเสริม เพื่อชดเชยสารอาหารที่ขาดหายไปจากการรับ ประทานเนื้อสัตว์ ทั้งนี้ จาก ข้อมูลของ Deloitte (2019) ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มสังคมที่เลิกหรือลดการบริโภคเนื้อสัตว์ ในอังกฤษเพิ่มขึ้นถึง 2.6 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่ม Flexitarian เป็นหลัก เช่นเดียวกับรายงาน Consumer Insights ของ Mattson Survey 2017 พบว่า ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ถึงเกือบ 1 คน ใน 3 คน เลือกที่จะลดการบริโภค เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมเป็นคร้ังคราว ในขณะที่คนอเมริกันจานวนน้อยที่ระบุว่า เป็นมังสวิรัติหรือวีแกน

Meat Alternative User มีกลุ่มไหนบ้าง ต่างกันอย่างไร? แม้เราจะทราบกันอยู่แล้วว่าผู้บริโภคจำนวนหนึ่งที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “มังสวิรัติ” แต่รู้หรือไม่ว่ากลุ่มผู้บริโภค เหล่านี้ก็มีรูปแบบการบริโภคที่แตกต่างกัน เช่น
(1) วีแกน (Vegan) หรือผู้บริโภคที่ไม่บริโภคทุกอย่างที่เกี่ยวข้องเนื้อสัตว์ อย่างเคร่งครัด ซึ่งชาววีแกนนั้น จะบริโภคเฉพาะอาหารหรือ ผลิตภัณฑ์ที่มาจาก ผัก ผลไม้ ธัญพืชแบบ 100%
(2) Vegetarian หรือผู้บริโภคที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่ยังสามารถบริโภค ไข่ นม และเนยได้
(3) Pescatarian คือ ผู้ที่งดเว้นจากการกินเนื้อสัตว์และเนื้อสัตว์ทั้งหมด ยกเว้นปลา
(4) Flexitarian หรือผู้บริโภคมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น สามารถทานเนื้อสัตว์ได้เป็น ครั้ง คราว เนื่องจากการงดบริโภคเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาดค่อนข้างส่งผลกระทบ ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเมื่อผู้ไม่ทานเนื้อสัตว์ต้องร่วมโต๊ะอาหาร กับผู้อื่น หรือหาซื้อผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ได้ยาก
(5) Meat Reducer คือ ผู้ที่ยังบริโภคเนื้อสัตว์ แต่พยายามลดการบริโภคเนื้อสัตว์ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่ารูปแบบการไม่บริโภคเนื้อสัตว์จะอยู่ที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตลอดไป แต่ผู้บริโภคคนเดียวกันนี้ก็สามารถเปลี่ยนรูปแบบการ รับประทานไปยังกลุ่มอื่นได้ขึ้นอยู่กับความพอใจและโอกาส

กระแสรักษ์สิ่งแวดล้อมและตระหนักถึงสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) เพิ่มสูงขึ้น Krungthai COMPASS มองว่า Plant-based Food เป็นตัวช่วยสำหรับธุรกิจอาหารในการรับมือกับความท้าทายของผู้ประกอบการในยุคที่ผู้บริโภคตระหนักถึงกระแสการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า โดยที่ผ่านมา การทำฟาร์มปศุสัตว์มักถูกหยิบยกถึงประเด็นผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จากข้อมูลโดย Arizton ชี้ให้เห็นว่า พื้นที่ทำฟาร์มปศุสัตว์ทั่วโลกคิดเป็นถึง 77% ของพื้นที่เกษตรกรรมทั้งหมด แต่กลับให้ผลผลิตที่กลายเป็นอาหารของมนุษย์ได้เพียง 17% ขณะที่รายงานของ Oxford University(2018) ก็ชี้ว่า สิ่งที่ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ได้ผลมากที่สุดวิธีหนึ่ง คือ “การหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากสัตว์” เนื่องจากพื้นที่เกษตรกรรมส่วนใหญ่ถูกใช้เพื่อ การปศุสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนม

ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมมากกว่าผลิตภัณฑ์จากพืชในทุกมิติ จากรูปที่ 9 แสดงให้เห็นถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในการผลิตอาหารแต่ละประเภท ซึ่งหากค่า log มากกว่า 1 หมายความว่าการผลิตอาหารประเภทนั้นก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในสัดส่วนสูงกว่าผลลัพธ์จากการผลิตกล่าวคือกลุ่มผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (แถบสีฟ้า) ให้ผลิตภาพต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเนื้อแดงทั้งแบบผ่านกรรรมวิธีและไม่ผ่านกรรมวิธีปรุงแต่ง

นอกจากนี้ ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ยังก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตอาหารสัตว์ โดยจากข้อมูล FAO พบว่า การปล่อยก๊าซที่เกิดจากข้ันตอนการผลิตอาหารสัตว์คิดเป็น 47% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมด เนื่องจากการทำปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกจะก่อให้เกิดก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ถึงเกือบครึ่งหนึ่งของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และอีกราว 25% มาจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินสำหรับให้อาหารสัตว์(เช่น หญ้า ฟาง) นอกจากนี้ การหมักของเสียทางลำไส้ของสัตว์ (Enteric Fermentation)ก็ปล่อยก๊าซสูงเป็นอันดับรองลงมา โดยก๊าซมีเทนที่ถูกปล่อยออกมาส่วนใหญ่มาจากโคกระบือราว 13% และสัตว์เคี้ยวเอื้องขนาดเล็ก 10% ขณะที่ก๊าซมีเทนและไนโตรเจนไดออกไซด์ที่มาจากข้ันตอนการหมักปุ๋ย รวมถึงการเผาไหม้พลังงานฟอสซิลที่เกิดจากกระบวนการผลิตต่างๆ คิดเป็นอีก 20% ของการปล่อยก๊าซในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ทั้งหมด (รูปที่ 10)

นอกเหนือจากประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว การค านึงถึง “สวัสดิภาพสัตว์” (AnimalWelfare) ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ Plant-based Food เป็นที่นิยมมากขึ้น ซึ่งเป็นการที่สัตว์ได้รับการเลี้ยงและดูแลให้สัตว์มีความเป็นอยู่ในสภาวะที่เหมาะสม มีสุขอนามัยที่ดี และมีที่อยู่สะดวกสบาย โดยยึดหลักอิสระ 5 ประการ (Five Freedoms)18 เพื่อช่วยแก้ปัญหาการทรมานสัตว์จากการเลี้ยง การฆ่าในโรงเชือด และปัญหาพื้นที่เลี้ยงที่แออัดในการเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบัน อีกทั้ง Animal Welfare ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับข้อบังคับมาตรฐานการผลิตและกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การส่งออกไก่เนื้อไปสหภาพยุโรปซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทยจะต้องได้รับรองมาตรฐาน Animal Welfare

ปัญหา Food Security ทำให้ Plant-based Foodมีความจำเป็น

การเพิ่มขึ้นของประชากรโลกในระยะต่อไปจะยิ่งนาไปสู่ความท้าทายในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) อย่างทั่วถึง เพียงพอ และปลอดภัยกับทุกคน ทำให้Plant-based Food มีความจำเป็นทั้งนี้ จากข้อมูลของสหประชาชาติ (United Nations)คาดว่า จำนวนประชากรโลกอาจสูงถึง 9.7 พันล้านคนในปี 2050 และน่ันหมายความว่าความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์ก็อาจเพิ่มขึ้นจาก 280 ล้านตันในปัจจุบัน เป็น 570 ล้านตันหรือ เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า นอกจากนี้ ต้นทุนการผลิตเนื้อสัตว์ต้องใช้ทรัพยากรเป็นจำนวนมาก โดยครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทางการเกษตรทั่วโลกสูญเสียไปกับการทาการปศุสัตว์และกว่า 90% ของผลผลิตถั่วเหลืองก็กลายเป็นอาหารของสัตว์ไปเสีย

นอกจากนี้ การขาดแคลนอาหารในช่วงที่เกิดโรคระบาด COVID-19 ยิ่งตอกย้าถึงความจำเป็นของเนื้อสัตว์จากพืชทดแทนมากขึ้น โดยในช่วง COVID-19 ชาวอเมริกันเร่งกักตุนสินค้าในช่วงที่ต้องกักตัวหรือถูกจำกัดบริเวณ ประกอบกับโรงฆ่าสัตว์ซึ่งมีกำลังการผลิตมากกว่า 30% ก็ต้องปิดลงช่ัวคราว ส่งผลให้เนื้อสัตว์ไม่เพียงพอต่อความต้องการและหายไปจากชั้นวางสินค้าไปโดยปริยาย ทาให้ Plant-based Meat หรือเนื้อสัตวทางเลือกได้รับความนิยมและขายได้กว่า 5.3 ล้านชิ้นในร้านค้าปลีกภายในระยะเวลาเพียง 8 สัปดาห์ ซึ่งมากกว่าที่ขายได้ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าถึงเกือบ 3 เท่า (รูปที่ 11)

เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านอาหารมีบทบาทสำคัญที่ทำให้อาหารที่ทำจากพืชเติบโตอย่างก้าวกระโดด

เนื้อเทียม นำยีสต์และโปรตีนที่สังเคราะห์ได้จากรากของพืชตระกูลถั่ว (Soy leghemoglobingene) มาเข้าสู่กระบวนการหมัก ซึ่งคล้ายคลึงกับการหมักเบียร์ โดยมียีสต์หรือสิ่งมีชีวติ ที่เป็นตัวรับ (Host organism) ทำหน้าที่ผลิตโปรตีนเฉพาะ จนทำให้เกิด“ฮีม” (Heme) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่พบได้มากในกล้ามเนื้อของสัตว์ ก่อนที่ผู้ผลิตบางรายจะนำเข้าสู่กระบวนการปรุงแต่งหรือตัดต่อพันธุกรรม (GMOs) ในข้ันตอนต่อไป

ใช้การแปลงสภาพโปรตีนจากพืชตระกูลถั่วภายใต้สภาวะความเป็นด่างให้กลายเป็นแป้งสาลี และอัดขึ้นรูปเพื่อจัดแนวโปรตีนให้เป็นเส้นๆ คล้ายคลึงกับผิวสัมผัสของเนื้อสัตว์ ก่อนจะคงสภาพเส้นใยโปรตีนเหล่านั้นในที่เย็นและอยู่ในสภาพแรงกดดันที่เหมาะสม จนได้โปรตีนจากพืชในรูปแบบต่างๆ

อาหารทะเล ทาจากถั่วเหลือง ยีสต์ และสารสกัดจากเมล็ดดอกทานตะวัน ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการ 3D-Printing ในการสร้างชั้นเนื้อและโครงสร้างต่างๆ ก่อนจะเจือสีและกลิ่น เพื่อให้มีเนื้อสัมผัสที่ใกล้เคียงอาหารทะเล

ทำจากถั่วหลากหลายชนิดและสาหร่าย (Algae) ที่อยู่ตามเปลือกนอกของต้นไม้มาเข้าสู่กระบวนการหมักด้วยโคจิ (Koji) ซึ่งได้จากราที่เจริญอยู่บนเมล็ดข้าวสุกและมีการควบคุมอุณหภูมิและความช้ืนสัมพัทธ์อย่างเหมาะสม เพื่อเป็นสารต้ังต้นของการหมัก (Starter) มาใช้เป็นส่วนประกอบสาคัญที่ทาให้ได้กลิ่นเนื้อจากทะเลที่มีเฉพาะตัว

ไข่ ทำจากถั่วเขียวเป็นส่วนประกอบหลักเพื่อสร้าง Texture ก่อนจะเพิ่มเติมสีสันด้วยแครอทและขมิ้น เติมรสชาติด้วยเกลือ น้ำมันที่สกัดได้จากเมล็ดพืช และเลซิตินจากถั่วเหลือง (ซึ่งเป็นสารประกอบระหว่างกรดไขมันจำเป็น ฟอสฟอรัส และวิตามินบี ที่จำเป็นสำหรับร่างกายของมนุษย์) และใช้เอนไซม์แทรนส์กลูตามิเนส(Transglutaminase) ที่ได้จากกระบวนการหมัก (Fermentation) ด้วยจุลินทรีย์เพื่อช่วยปรับคุณสมบัติเชิงหน้าที่ของโปรตีน ลดการแยกชั้นของน้ำ และเพิ่มประสิทธิภาพในการอุ้มน้ำ ก่อนที่จะใช้ผงกรอบ (Tetrasodium Pyrophosphate)เพื่อเพิ่มเนื้อสัมผัสของไข่ และคงสภาพความเป็นกรด-ด่าง รวมถึงสีและกลิ่นให้เหมือนไข่มากที่สุด

ธุรกิจหน้าเก่าและหน้าใหม่ต่างหันมาลงทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารจากพืชอย่างจริงจัง โดยในปี 2018 พบว่า ธุรกิจต่างลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารที่ทาจากพืชทั่วโลกราว 673 ล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 38% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกเหนือจากผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่กระโจนเข้าสู่ตลาดนี้มากขึ้นแล้วผู้ประกอบการเดิมรายใหญ่ๆ อย่าง Kraft Heinz Cargill and Danone ก็หันมาลงทุนในกลุ่มอาหารประเภทนี้เช่นกัน (Deloitte, 2019)

Krungthai COMPASS มองว่า การลงทุนในเทคโนโลยีอาหาร (FoodTech) ที่เติบโตอย่างมากจะเป็นปัจจัยเร่งการเติบโตของอาหารที่ทำจากพืช สะท้อนจากข้อมูลของFinancial Times ที่อ้างอิงรายงานจาก PitchBook ว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 มีการลงทุนจากธุรกิจการร่วมลงทุน (Venture Capital) ในกลุ่ม Startup ที่เกี่ยวกับธุรกิจ Bio-engineered Food (รวมถึง Plant-based Meat) คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.8พันล้านดอลลาร์ฯ มากกว่าปี 2019 ทั้งปีซึ่งอยู่ที่เพียง 1.4 พันล้านดอลลาร์ฯ และคาดว่าทั้งปี 2020 จะมีเงินลงทุนใน Bio-engineered Food มากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ฯ เช่นเดียวกับจานวนสัญญาที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 69 สัญญาในปี 2018เป็น 104 สัญญา ในปี 2019 หรือ เพิ่มขึ้นถึง 51%

นอกจากนี้ “Lever VC” กองทุน Venture Capital ที่ลงทุนในธุรกิจอาหารที่ทำจากพืชและเทคโนโลยีอาหารทางเลือกต่างๆ ในหลายภูมิภาคทั่วโลก เช่น สหรฐั ฯ ยุโรปและเอเชีย ได้ลงทุนในธุรกิจ Plant-based ที่เป็นที่คุ้นหูอย่าง Beyond Meat,Impossible Foods และ Memphis Meats ต้ังแต่ปี 2018 และได้กลายเป็นเทรนด์การลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดย Barclays, UBS และ JP Morgan ต่างประเมินว่า เม็ดเงินลงทุนในธุรกิจอาหารที่ทำจากพืชและเทคโนโลยีอาหารทางเลือกมีโอกาสแตะระดับ 8.5 หมื่น – 1.4 แสนล้านดอลลาร์ฯ ภายในระยะเวลา 10-15 ปี

COVID-19 ยิ่งทำให้ความกังวลในการบริโภคเนื้อสัตว์ เพิ่มขึ้นการระบาดของ COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคมีความกังวลด้านสุขภาพมากขึ้น อีกทั้งความกังวลจากการติดต่อของเชื้อโรคจากสัตว์สู่คน จะเป็นปัจจัยเร่งการเติบโตของธุรกิจอาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based Food) โดยจากการสำรวจของ The Beet ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารสุขภาพ พบว่า ผู้บริโภคในสหรัฐฯ ถึง 23% เลือกที่จะบริโภคอาหารโปรตีนจากพืชมากขึ้นในช่วงการระบาดของ COVID-19 นอกจากนี้รายงานล่าสุดจากทางการจีนที่ตรวจพบไข้หวัดใหญ่ G4EAH1N1 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบในสุกรของจีน อ้างว่าโรคดังกล่าวอาจติดต่อสู่คนได้ แม้ภายหลังจะมีรายงานว่ายังเป็นเพียงผลการวิจัยในห้องปฏิบัติการ เช่นเดียวกับข้อมูลของ Foodprint.org ที่อ้างอิงว่า ในปี 2015 USDA ต้องเรียกคืนผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนกว่า 150 ชนิดน้ำหนักกว่า 21.1 ล้านปอนด์ ซึ่งมีสารปนเปื้อนรวมกว่า 5.1 ล้านปอนด์ เช่น เชื้อแบคทีเรียก่อโรค Listeria Salmonella และแบคทีเรียที่สร้างสารพิษอย่างเชื้ออิโคไล (Escherichiacoli) ขณะที่โรคบางชนิดที่แพร่ระบาดจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์สู่คน เช่น โรคไข้หวัดนกและโรควัวบ้า ก็มักจะมีการแพร่ระบาดผ่านสัตว์ที่มีเชื้อโรคเหล่านี้อยู่ ก่อนที่จะแพร่ระบาดสู่คน จะยิ่งเป็นปัจจัยหนุนการบริโภคอาหารโปรตีนจากพืชเพิ่มขึ้น