เกษตรอินทรีย์ การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์

คู่มือ เกษตร ผัก ผลไม้ อินทรีย์ ปุ๋ยที่ทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ วางระบบ smart farmer ออร์แกนิค organic

ทําเกษตรที่เหมาซามรู้เหล่านี้มาใช้ที่อารโครหลายท่านทําให้ผมได้การได้รู้จักผู้เชี่ยวชาญและเกษตรกรหลายท่านทําให้ผมได้รับความรู้ต่าง ๆ มากมาย ผมนําความรู้เหล่านี้มาใช้ที่ฮาร์โมนี้ไลฟ์ คงไม่มีวิธีไหนดีไปกว่าการศึกษาหาวิธี ทําเกษตรที่เหมาะกับอากาศและผืนดินด้วยตนเองอีกแล้ว ระหว่างที่ทดลองอยู่หลายครั้ง ผมก็ได้รู้ว่าการผลิต “ปุ๋ย” ที่ดีนั้นสําคัญต่อการทําเกษตรมากทีเดียว

พืชจะเติบโตดีก็ต่อเมื่อดินมีคุณภาพดี ในดินที่มีคุณภาพดีจะมีจุลินทรีย์ที่มี ประโยชน์อยู่อย่างล้นเหลือ เมื่อเราใส่ปุ๋ยคอก เช่น ขี้วัว ขี้ไก่ลงในดิน พืชจะดูดแร่ธาตุ และสารอาหารจากปุ๋ยไปใช้โดยตรงไม่ได้ ต้องให้จุลินทรีย์ที่อยู่ในดินทําหน้าที่แยกองค์ ประกอบของขี้วัวขี้ไก่ออกมาเสียก่อน รากพืชจึงจะดูดสารอาหารเหล่านั้นไปใช้ได้จุลินทรีย์ จะทํางานได้ดีก็ต่อเมื่ออาศัยอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในดิน ดังนั้น ดินที่ดีจึงต้องมีทั้งพืช และจุลินทรีย์จํานวนมากอาศัยอยู่ร่วมกัน

ในทางตรงข้าม นอกจากจุลินทรีย์ดี ในดินก็มีจุลินทรีย์ที่ทําให้เกิดการเน่าเสีย อาศัยอยู่ด้วยเรียกว่า แบคทีเรียย่อยสลายสารอินทรีย์ซัลเฟอร์ (purifying bacteria) ดิน ที่ไม่ดีจะมีจุลินทรีย์ชนิดนี้อาศัยอยู่มาก พวกมันทําให้รากพืชเน่าพืชเป็นโรค อ่อนแอ และ ถูกแมลงศัตรูทําลายได้ง่าย ยิ่งเกษตรกรใช้ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมีมากเท่าไร ยิ่งทําลาย จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ซึ่งทําหน้าที่สําคัญในการดูแลพืชให้แข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้น การทําเกษตรอินทรีย์จึงต้องใช้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าปลูกพืชผักลงในดินที่ดีจะเกิดโรคและปัญหาแมลงกัดกินค่อนข้างน้อย ฟาร์มฮาร์โมนี ไลฟ์จึงเริ่มต้นจากการปรับปรุงบํารุงดินเป็นอันดับแรก โดยใช้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และ มีคุณภาพดีผลิตปุ๋ย

ผมเคยซื้อขี้วัวขี้ไก่มาทําปุ๋ยอินทรีย์ใช้ในฟาร์มฮาร์โมนี้ไลฟ์ โดยนํามาผสมกับฟาง และหญ้าแล้วหมักทิ้งไว้ครึ่งปี ผมคิดว่าถ้านําปุ๋ยนี้ไปใช้ในพื้นที่การเกษตรจะสร้างดินที่ อุดมด้วยสารอาหารได้ แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม ไม่ว่าจะดูแลดีแค่ไหนพืชผักก็ยังเป็น โรคและถูกแมลงกัดกิน

เมื่อลองคิดดูดี ๆ วัวและไก่เหล่านั้นถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่ใส่ยาปฏิชีวนะปริมาณ มากนั่นเอง ร่ายกายของพวกมันมีสารเคมีสังเคราะห์สะสมอยู่จึงนํามาทําปุ๋ยหมักไม่ได้ เนื่องจากมีแบคทีเรียย่อยสลายสารอินทรีย์ซัลเฟอร์อยู่มาก ขี้วัวขี้ไก่จึงมีกลิ่นเหม็นล่อแมลง มาตอมกันยกใหญ่

เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ผมจึงเดินทางไปหลายแห่งเพื่อหาวัตถุดิบที่ดีมาทําปุ๋ย ผมได้ รับคําแนะนําจากฟาร์มเลี้ยงหมูว่า “ใช้ขี้หมูดีกว่า” แต่อาหารที่ใช้เลี้ยงหมูก็ผสมสารเคมี และยาปฏิชีวนะเช่นกัน แถมยังมีกลิ่นแรงจนต้องใช้ยาดับกลิ่นเพื่อทําให้กลิ่นอ่อนลง แล้ว ถ้าเป็นขี้ม้าล่ะใช้ได้ไหม ผมไปฟาร์มเลี้ยงม้าแข่ง ขี้ม้าก็ไม่เลวเท่าไร แต่ประเทศไทยมีฟาร์ม เลี้ยงม้าไม่มากนัก จึงมีปริมาณไม่มากพอ

ผมได้ยินคนพูดกันว่า “ขี้ค้างคาวนี่สุดยอดปุ๋ยเลย” คงเป็นเพราะพวกมันกิน แมลง ขี้ของมันจึงมีคุณภาพดี แล้วผมก็ต้องประหลาดใจที่รู้ว่าในประเทศไทยมีคนทําอาชีพ เก็บขี้ค้างคาวขายด้วย คงเป็นเพราะมีความต้องการใช้ปุ๋ยขี้ค้างคาวมากนั่นเอง ผมนําขี้ ค้างคาวไปวิเคราะห์หาสารอาหาร ปรากฏว่ามันมีความสมดุลและเหมาะสมที่จะนําไปทํา ปุ๋ยเป็นที่สุด แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่ขี้ค้างคาวมีราคาแพง ถ้าใช้อย่างต่อเนื่องคงมีปัญหาเรื่อง ต้นทุนแน่

ผมเสาะหาแหล่งวัตถุดิบผลิตปุ๋ยชั้นดีอย่างไม่ย่อท้อ แต่ก็ยังห่างไกลจากสิ่งที่ ต้องการ จึงฉุกคิดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ผลิตปุ๋ยจากมูลสัตว์ในแบบที่ต้องการเองเลยก็ แล้วกัน” ผมปรับพื้นที่มุมหนึ่งของฟาร์มเพื่อใช้เลี้ยงวัวและไก่ เริ่มแรกผมเลี้ยงวัว 20 ตัว ไก่อีก 500 ตัว อาหารสัตว์ก็ให้ผลผลิตจากฟาร์มแทบทั้งหมด ถ้าอยู่ในญี่ปุ่นผมคงใช้ธัญพืช เป็นอาหารวัว แต่อาหารตามธรรมชาติของวัวคือหญ้า ดังนั้น วัวที่ฟาร์มฮาร์โมนี้ไลฟ์ จึงกินหญ้าที่ขึ้นเองธรรมชาติ แม้กินแต่หญ้าพวกมันก็เจริญเติบโตได้ดีทีเดียว

ไก่และวัวเติบโตอย่างรวดเร็วและแข็งแรง ในที่สุดผมก็ได้มูลสัตว์มาใช้เป็นวัตถุดิบ ผลิตปุ๋ย พอลองนําไปหมักก็ได้ปุ๋ยคุณภาพดีอย่างที่คิดไว้ ผมลองปลูกพืชผักบนแปลงที่ใส่ ปุ๋ยนี้ ผลที่ได้น่าประทับใจมาก เพราะผักเติบโตแข็งแรง โดยไม่มีแมลงมากัดกิน แน่นอน ว่าเกิดโรคน้อยมากด้วยเช่นกัน
เมื่อทําปุ๋ยเองได้แล้วก็ทําให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ดีขึ้น จึงส่งสินค้าไปวางจําหน่าย ตามห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เกตได้อย่างมีเสถียรภาพมากกว่าเดิม แต่ยังทําให้ เปอร์เซ็นต์การเกิดโรคและแมลงเป็นศูนย์ไม่ได้ บางครั้งผักยังถูกแมลงกัดกินอยู่ ผมสงสัย ว่าต้องทําอย่างไรจึงจะป้องกันความเสียหายเหล่านี้ได้ จึงเริ่มศึกษาด้วยตนเองอีกครั้ง