-
วางระบบ เกษตรอินทรีย์ ผักอินทรีย์ ต่างจากผักปลอดสาร อย่างไร smart farmer ออร์แกนิค organic
ตารางเปรียบเทียบระบบการผลิตผักประเภทต่างๆ
-
วางระบบ เกษตรอินทรีย์ การปลูกผักอินทรีย์ที่ควรรู้ smart farmer ออร์แกนิค organic
ตัวอย่างข้อกำาหนด ของการปลูกผักอินทรีย์ที่ควรรู้ ห้ามใช้สารเคมีสังเคราะห์ทุกชนิด เน้นการปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรีย์วัตถุเช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ตลอดจนการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อให้พืชแข็งแรง มีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพื ป้องกันการปนเปื้อนของสารเคมีจากภายนอกฟาร์ม ทั้งดิน น้ำ และอากาศ โดยสร้างแนวกันชนด้วยการขุดคูหรือปลูกพืชยืนต้นหรือล้มลุก การกำจัดวัชพืช ใช้การเตรียมดินที่ดีและแรงงานคนหรือเครื่องมือกล แทนการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช เคารพสิทธิมนุษย์และสัตว์ เช่น การใช้ปุ๋ยคอกจะต้องมาจากฟาร์มสัตว์เลี้ยงที่ปล่อยธรรมชาติเป็นต้น รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ โดยการรักษาไว้ซึ่งพันธุ์พืชหรือสัตว์ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มีอยู่ในท้องถิ่น ตลอดจนปลูกหรือเพาะเลี้ยงขึ้นใหม่ จะเห็นได้ว่า กว่าจะสามารถทำการปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ได้นั้นไม่ง่ายเลย เพราะนอกเหนือจากการดูแลพืชพันธุ์ให้เจริญเติบโตด้วยวิธีธรรมชาติแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์รอบตัวอีกด้วย หัวใจของเกษตรอินทรีย์ การปลูกพืชผักแบบเกษตรอินทรีย์ นอกจากจะสามารถสร้างรายได้ที่ดีขึ้นให้กับเกษตรกร ที่สำคัญคือไม่มีความเสี่ยงจากอันตรายที่มาจากการใช้สารเคมีทั้งตัวผู้ปลูก ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม
-
วางระบบ เกษตรอินทรีย์ กว่าจะมาเป็น ผู้ปลูกผักอินทรีย์ smart farmer ออร์แกนิค organic
กว่าจะมาเป็น ผู้ปลูกผักอินทรีย์ หากผลิตเพื่อเป็นอาชีพนั้น จะต้องมีมาตรฐานรองรับ จึงต้องมีการวางระบบตั้งแต่เริ่มต้น อาทิ ด้านพื้นที่ที่เหมาะสมแหล่งน้ำที่ไม่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน ความรู้เรื่องดินและการปรับปรุงดินที่ไม่ใช้สารเคมี การจัดการองค์ความรู้ที่ต้องเป็นเชิงวิทยาศาสตร์ที่สามารถหาปัจจัยการผลิตต่างๆ ทดแทนการใช้สารเคมีได้ เป็นต้นซึ่งจำเป็นต้องมีการเรียนรู้จึงจะสามารถผลิตพืชอินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
วางระบบ เกษตรอินทรีย์ การตลาดของการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ smart farmer ออร์แกนิค organic
การตลาดของการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ ในปัจจุบันประชาชนให้ความสนใจกับการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์เพิ่มมากขึ้นและในการทำธุรกิจนี้ส่วนใหญ่จะนิยมปลูกผักกินใบมากกว่า เนื่องจากมีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น สามารถทำรอบการผลิตได้บ่อยครั้ง และง่ายต่อการดูแลรักษา ผลผลิตของผักที่ได้จากปลูกผักไฮโดรโปนิกส์จะสังเกตได้ง่ายคือ ผลผลิตจะมีรากและวัสดุปลูกติดมาด้วย สังเกตได้ว่าถ้ารากพืชยาวและขาว แสดงว่าพืชมีการเจริญเติบโตที่ดี ผลผลิตส่วนใหญ่จะบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใส เพื่อให้สามารถเห็นรูปร่างของผลผลิต การตลาดส่วนใหญ่ของพืชที่ปลูกในระบบนี้มีทั้งที่จำหน่ายหน้าสวนตัวเองมีพ่อค้าคนกลางมารับและมีการขายส่งไปแหล่งต่าง ๆ เช่น โรงแรม ภัตตาคารร้านอาหาร ตลาดกลางและห้างสรรพสินค้า ซึ่งตลาดของผักที่ปลูกโดยผักไฮโดรโปนิกส์กำลังขยายตัวไปได้ดี เนื่องจากผักที่ปลูกในระบบนี้จัดได้ว่ามีความปลอดภัยจากสารเคมี ผู้บริโภคจึงนิยมบริโภคกันมากขึ้น
-
วางระบบ เกษตรอินทรีย์ การปฏิบัติเพื่อลดความเสียหายของผักหลังการเก็บเกี่ยว smart farmer ออร์แกนิค organic
การปฏิบัติเพื่อลดความเสียหายของผักหลังการเก็บเกี่ยว เทคโนโลยีการปลูก เริ่มจากการคัดเลือกพันธุ์ที่ดีและมีคุณภาพมาเพาะปลูก การเตรียมดิน การให้น้ำ การใส่ปุ๋ย การป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกวิธี เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ เก็บเกี่ยวผักที่มีคุณภาพและขนาดตามความต้องการของตลาดหลังการตัดควรเก็บไว้ในภาชนะที่มีการระบายอากาศดี สะดวกต่อการขนย้ายระหว่างการตัดแต่งและการทำความสะอาดควรทำในที่ร่มเพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ ในการเก็บเกี่ยวต้องระวังให้พืชเกิดบาดแผลให้น้อยที่สุดเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้น ภาชนะที่บรรจุ เลือกวัสดุให้ตรงกับความต้องการของตลาดทั้งในรูปของการขายส่งและขายปลีก การวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าตลอดจนส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ในระหว่างการเก็บรักษาเพื่อรอการขนส่ง ควรเก็บไว้ในที่ร่มมีการถ่ายเทอากาศดี เพื่อไม่ให้ผักที่เก็บเกี่ยวมาเกิดความร้อนสะสม ซึ่งจะทำให้ผักเหี่ยวเฉา ผักที่ต้องการจำหน่ายไปยังต่างประเทศ ควรเก็บไว้ในที่เย็นเพื่อยืดอายุการวางจำหน่ายให้นานขึ้น พาหนะในการขนส่งควรใช้พาหนะที่สามารถทำความเย็นได้และควรเปิดให้เย็นก่อนขนย้ายผักเพื่อให้ผักได้รับความเย็นอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอ การเคลือบผิว ผักบางชนิดที่มีการคายน้ำสูงทำให้ผิวเกิดการเหี่ยวย่นและสูญเสียน้ำหนักได้ง่าย การเคลือบผิวด้วยสารเคลือบผิวจะทำให้ไม่สูญเสียน้ำหนักและดูน่ารับประทานยิ่งขึ้น เช่น พริกหวานมะเขือเทศ เป็นต้น การใช้อุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ที่เหมาะสม ผักแต่ละชนิดต้องการอุณหภูมิในการเก็บรักษาต่างกัน ความชื้นสัมพัทธ์ในการเก็บรักษาผักมีความสำคัญสำหรับการรักษาคุณภาพของผัก ซึ่งผักส่วนใหญ่จะเก็บในที่มีความชื้นสัมพัทธ์ 95-100% ยกเว้นผักบางชนิดที่ไม่ควรเก็บในที่มีความชื้นสัมพัทธ์เกิน 65-70% ได้แก่ หอม กระเทียม
-
วางระบบ เกษตรอินทรีย์ ขั้นตอนและวิธีการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ smart farmer ออร์แกนิค organic
ขั้นตอนและวิธีการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ การปลูกผักไฮโดรโปนิกส์นั้นต้องมีการจัดการในส่วนของผัก และส่วนของสารละลายธาตุอาหาร การจัดการพืชความสำเร็จของการผลิตอยู่ที่ความแข็งแรงและความสมบูรณ์ของต้นกล้าเพราะจะทำให้ผักสามารถเจริญเติบโตและตั้งตัวได้เร็ว วิธีการเพาะกล้า การเพาะกล้าในถ้วยเพาะแบบสำเร็จรูปวัสดุที่ใช้เพาะในบ้านเราส่วนใหญ่นิยมใช้ เพอร์ไลท์ เวอร์มิคูไลท์หรืออาจใช้เพอร์ไลท์ผสมกับเวอร์มิคูไลท์ (อัตรา 1 : 4) หรือกรวด ซึ่งนิยมใช้ปลูกในระบบ NFT ดังนี้1.1 ใส่วัสดุเพาะลงในถ้วยเพาะสำเร็จรูปต่ำกว่าขอบบนของถ้วยประมาณ 1 เซนติเมตร1.2 ใส่เมล็ดลงในวัสดุเพาะที่อยู่ในถ้วยเพาะ ถ้วยละ 1 เมล็ด โดยให้เมล็ดลึกประมาณ 0.5 เซนติเมตร1.3 นำถ้วยเพาะเมล็ดไปวางในกระบะเพาะ ใส่น้ำสูงประมาณ 2 เซนติเมตร วางในที่มีแสงแดดรำไร มีการระบายอากาศดี มีวัสดุกันฝนและแรงลม1.4 เมื่อเมล็ดงอกเป็นต้นกล้า ควรเริ่มให้สารละลายธาตุอาหารพืชแบบเจือจางผ่านรากผักในถาดเพาะก่อน เพื่อช่วยให้รากแข็งแรง และควรทำการเปลี่ยนสารอาหารสัปดาห์ละครั้ง ควรให้กล้าได้รับแสงแดดรำไร ไม่ร้อนจัด1.5 เมื่อกล้าแข็งแรง หรือมีอายุประมาณ 2-3 สัปดาห์ ย้ายกล้าไปยังแปลงปลูก1.6 สามารถเก็บผลผลิตได้เมื่อพืชมีอายุ 35-45 วัน (5-6 สัปดาห์) หลังเพาะเมล็ด การเพาะกล้าในแผ่นฟองน้ำการเพาะเมล็ดลงในแผ่นฟองน้ำส่วนมากนิยมปลูกในรูปของแผ่นโฟม โดย2.1 เจาะรูแผ่นโฟมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร เพื่อใส่ต้นกล้า แต่ละรูห่างกันตามแต่ชนิดของพืชที่ปลูก โดยทั่วไปใช้ระยะห่าง 15-25 เซนติเมตร2.2 เพาะกล้าในแผ่นฟองน้ำโดยใช้มีดกรีดแผ่นฟองน้ำให้เป็นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่กว่ารูของแผ่นโฟมที่เจาะรูไว้ เพื่อให้ฟองน้ำที่มีต้นกล้าสามารถอยู่ในรูของแผ่นโฟมได้หลังจากย้ายปลูก2.3 ใช้มีดกรีดตรงกลางของฟองน้ำในข้อ 2.2 เป็นรูปกากบาทลึกประมาณ 1 เซนติเมตร เพื่อไว้สำหรับหยอดเมล็ด2.4 หลังหยอดเมล็ดแล้วให้น้ำโดยการสเปรย์ให้ชุ่มทุกเช้า เย็น2.5 วางฟองน้ำในถาดเพาะที่มีน้ำขังเล็กน้อย2.6 เมื่อต้นกล้าเริ่มงอกควรเริ่มให้สารละลายธาตุอาหารพืชแบบเจือจางผ่านรากผักในถาดเพาะก่อน เพื่อช่วยให้รากแข็งแรง และควรทำการเปลี่ยนสารละลายธาตุอาหารพืชสัปดาห์ละครั้ง ควรให้กล้าได้รับแสงแดดรำไร ไม่ร้อนจัด2.7 เมื่อกล้าแข็งแรงหรือมีอายุ 2-3 สัปดาห์ ย้ายกล้าลงแปลงปลูก(ในการเพาะกล้าด้วยฟองน้ำจะไม่มีการย้ายกล้าไปยังแปลงอนุบาล) การเพาะกล้าในวัสดุปลูก การเพาะกล้าในวัสดุปลูกนั้นสามารถใช้วัสดุที่หาได้ในท้องถิ่น หรือนำมาผสมกันเป็นวัสดุเพื่อใช้ในการเพาะกล้า แต่ควรมีการทดสอบความเป็นพิษของวัสดุปลูกเสียก่อน โดยเพาะเมล็ดจำนวนหนึ่งลงในแต่ละวัสดุปลูกที่จะใช้ให้สารละลายธาตุอาหารและน้ำอย่างเพียงพอต่อเนื่องกัน 2-3 สัปดาห์ ถ้าพืชไม่มีอาการผิดปกติ เช่น รากกุด รากเน่า หรือ ใบเหลืองซีด แสดงว่าวัสดุปลูกนั้นสามารถนำมาใช้ได้ วัสดุปลูกที่นำมาใช้มีทั้งที่ได้มาจากต่างประเทศและในประเทศ เช่นเวอร์มิคูไลท์ หินฟอสเฟต เพอร์ไลท์ ขุยมะพร้าว แกลบ ขี้เถ้าแกลบ หินกรวด ทรายเป็นต้น ซึ่งมีวิธีการปลูก ดังนี้3.1 เพาะเมล็ดลงในภาชนะที่บรรจุวัสดุปลูกไว้แล้ว3.2 รดน้ำจนกระทั่งเมล็ดงอก ได้ต้นกล้าที่มีใบจริง 2-3 ใบ3.3…