-
วางระบบ เกษตรอินทรีย์ เลือกซื้อเป็นผักเกษตรอินทรีย์ smart farmer ออร์แกนิค organic
จะรู้ได้อย่างไรว่าผักที่เลือกซื้อเป็นผักเกษตรอินทรีย์ของแท้ พืชผักเกษตรอินทรีย์ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานจะได้ใบรับรองแปลงผลิตพืชอินทรีย์จากหน่วยงานกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้เครื่องหมาย “ออร์กานิกไทยแลนด์” (Organic Thailand) ซึ่งรับรองผลผลิตในระดับการค้าภายในประเทศ และสำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ภายใต้เครื่องหมาย มกท. ที่มีเครื่องหมาย “IFOAM Accredited” ซึ่งรับรองผลผลิตในระดับการค้าระหว่างประเทศ
-
วางระบบ เกษตรอินทรีย์ รู้จักกับผักปลอดสารประเภทอื่นๆ smart farmer ออร์แกนิค organic
รู้จักกับผักปลอดสารประเภทอื่นๆ ผักปลอดภัยจากสารเคมี(Pesticide Free) หรือเรียกว่า “ผักปลอดสารพิษ” ตามท้องตลาด เน้นการควบคุมการใช้สารเคมีในการปลูก โดยไม่ใช้สารเคมีในการจำกัดแมลง แต่ยังคงใช้ปุ๋ยเคมีและฮอร์โมนเร่งผลผลิต แต่เป็นสารเคมีที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ผลผลิตจะมีสารเคมีตกค้างไม่เกินปริมาณที่กำหนดไว้เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยมีหน่วยงานรับรองมาตรฐานจากกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตรกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผักอนามัย(Pesticide Safe) หรือ “ผักกางมุ้ง” มีการใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อการเจริญเติบโต และใช้สารจำกัดแมลง แต่เป็นสารเคมีที่มีพิษตกค้างในระยะสั้นและหยุดฉีดพ่นสารเคมีก่อนการเก็บเกี่ยวตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยใช้กางมุ้งหรือใช้ตาข่ายปลูก และปลูกแบบไม่ใช้มุ้ง แต่เน้นการป้องกันกำจัดศัตรูพืชแบบผสมผสาน คือเน้นปลูกผักตามฤดูร่วมกับผักประเภทกะหล่ำปลี ที่ช่วยลดการระบาดของแมลง ส่วนการรับรองมาตรฐานจะใช้หลักเกณฑ์เดียวกับผักปลอดสารพิษ ผักไฮโดรโปนิกส์(Hydroponics) เป็นผักปลอดสารที่ปลูกโดยใช้น้ำแทนดิน ด้วยการผสมอาหารที่จำเป็นของพืชลงในน้ำ รากพืชที่สัมผัสน้ำจะดูดซึมสารอาหารมาสะสมไว้ที่ใบ ส่วนรากที่ไม่สัมผัสน้ำจะทำหน้าที่รับออกซิเจน ซึ่งยังคงมีการใช้สารเคมีและฮอร์โมนในกระบวนการเพาะปลูก ดังนั้น ผักปลอดสารเคมีหรือผักปลอดสารพิษทั่วไปตามท้องตลาด จึงไม่ได้หมายถึงผลผลิตที่ไร้สารเคมีและสารกำจัดศัตรูพืช แต่สามารถมีสารเคมีตกค้างได้ไม่เกินระดับมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากผักเกษตรอินทรีย์หรือผักออร์แกนิกที่จะไม่มีการใช้สารเคมีในทุกระบบขั้นตอนการผลิต
-
วางระบบ เกษตรอินทรีย์ ผักอินทรีย์ ต่างจากผักปลอดสาร อย่างไร smart farmer ออร์แกนิค organic
ตารางเปรียบเทียบระบบการผลิตผักประเภทต่างๆ
-
วางระบบ เกษตรอินทรีย์ การปลูกผักอินทรีย์ที่ควรรู้ smart farmer ออร์แกนิค organic
ตัวอย่างข้อกำาหนด ของการปลูกผักอินทรีย์ที่ควรรู้ ห้ามใช้สารเคมีสังเคราะห์ทุกชนิด เน้นการปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรีย์วัตถุเช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ตลอดจนการปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อให้พืชแข็งแรง มีความต้านทานต่อโรคและแมลงศัตรูพื ป้องกันการปนเปื้อนของสารเคมีจากภายนอกฟาร์ม ทั้งดิน น้ำ และอากาศ โดยสร้างแนวกันชนด้วยการขุดคูหรือปลูกพืชยืนต้นหรือล้มลุก การกำจัดวัชพืช ใช้การเตรียมดินที่ดีและแรงงานคนหรือเครื่องมือกล แทนการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช เคารพสิทธิมนุษย์และสัตว์ เช่น การใช้ปุ๋ยคอกจะต้องมาจากฟาร์มสัตว์เลี้ยงที่ปล่อยธรรมชาติเป็นต้น รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ โดยการรักษาไว้ซึ่งพันธุ์พืชหรือสัตว์ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มีอยู่ในท้องถิ่น ตลอดจนปลูกหรือเพาะเลี้ยงขึ้นใหม่ จะเห็นได้ว่า กว่าจะสามารถทำการปลูกพืชเกษตรอินทรีย์ได้นั้นไม่ง่ายเลย เพราะนอกเหนือจากการดูแลพืชพันธุ์ให้เจริญเติบโตด้วยวิธีธรรมชาติแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์รอบตัวอีกด้วย หัวใจของเกษตรอินทรีย์ การปลูกพืชผักแบบเกษตรอินทรีย์ นอกจากจะสามารถสร้างรายได้ที่ดีขึ้นให้กับเกษตรกร ที่สำคัญคือไม่มีความเสี่ยงจากอันตรายที่มาจากการใช้สารเคมีทั้งตัวผู้ปลูก ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม
-
วางระบบ เกษตรอินทรีย์ กว่าจะมาเป็น ผู้ปลูกผักอินทรีย์ smart farmer ออร์แกนิค organic
กว่าจะมาเป็น ผู้ปลูกผักอินทรีย์ หากผลิตเพื่อเป็นอาชีพนั้น จะต้องมีมาตรฐานรองรับ จึงต้องมีการวางระบบตั้งแต่เริ่มต้น อาทิ ด้านพื้นที่ที่เหมาะสมแหล่งน้ำที่ไม่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน ความรู้เรื่องดินและการปรับปรุงดินที่ไม่ใช้สารเคมี การจัดการองค์ความรู้ที่ต้องเป็นเชิงวิทยาศาสตร์ที่สามารถหาปัจจัยการผลิตต่างๆ ทดแทนการใช้สารเคมีได้ เป็นต้นซึ่งจำเป็นต้องมีการเรียนรู้จึงจะสามารถผลิตพืชอินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
วางระบบ เกษตรอินทรีย์ อะไรคือ…เกษตรอินทรีย์ smart farmer ออร์แกนิค organic
อะไรคือ…เกษตรอินทรีย์ การทำการเกษตรอินทรีย์ หมายถึง ระบบการผลิตพืชที่ปลอดจากการใช้สารเคมีทุกชนิดทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมี สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ฮอร์โมนสังเคราะห์ เป็นต้น โดยอนุญาติให้ใช้เฉพาะปุ๋ยอินทรีย์ ได้แก่ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักปุ๋ยชีวภาพ และปุ๋ยพืชสดเท่านั้น รวมถึงมีการจัดพื้นที่ปลูกพืชไม่ให้ปนเปื้อนกับแปลงปลูกพืชแบบเคมี และห่างไกลจากแหล่งมลภาวะ เช่นโรงงานอุตสาหกรรมหรือถนนหลัก อีกทั้งยังมีการจัดการระบบน้ำและการใช้น้ำที่ไม่ปนกับแหล่งน้ำธรรมชาติที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนสารเคมีและสารต้องห้ามอื่นๆ เป็นต้น